วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

"ระบบ" ในธุรกิจเครือข่าย แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร เราจะได้ประโยชน์อะไรจากระบบนี้

ระบบการขับเคลื่อนในธุรกิจเครือข่าย

ผมอยากให้อ่านเพื่อศึกษาไว้ สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มเข้าวงการนี้เพราะบ่อยครั้งเหลือเกิน จะได้ยินว่า บริษัทนี้มีระบบ ทีมงานเรามีระบบ หลายครั้งคุณจะเจอกับระบบต่าง ๆ ที่โปรโมทกันตามเว็บสิ่งเหล่านั้นที่คุณเห็นมักเป็นเพียงสื่อเท่านั้นครับไม่ใช่ระบบ รู้มั้ยครับว่าระบบที่ว่ามันคืออะไร ?ระบบดึงดูดนั้นเอาเข้าจริง ๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่เลยครับเราเห็นกันบ่อยแล้ว ประเภทให้กรอกข้อมูล โดยไม่บอกอะไร ให้คนสงสัยแล้วติดต่อกลับไปเริ่มพัฒนาหน่อย ก็ทำเป็นว่ามีวิธีการใหม่ ให้คนเริ่มเข้าศึกษาไปด้วย แล้วติดตามต่อไปหรือให้เข้าไปเรียนรู้ในสื่ออย่างแคมฟร๊อก skype หรือ Net meeting ต่าง ๆ

การเรียนรู้ในระบบเครือข่ายนั้น ไม่ใช่แค่เรียนรู้ครับ ถ้าคุณคิดแบบนั้น จะเหมือนคนที่อ่านหนังสือแล้วไปสอบทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ปริญญา ไปสมัครงาน ระบบขับเคลื่อนนั้นจะให้ดีต้อง ทำให้ทุกคนมีแนวคิดเหมือนกัน ทำงานเหมือนกัน และมีการฝึกทักษะได้ทุกคนครับ

ผมขอโยงเข้าไปถึงเรื่องของระบบการศึกษานะครับ ทุกคนผ่านเรื่องนี้มา แต่เคยย้อนคิดกันมั้ยครับว่าทำไมต้องไปโรงเรียน ? อ่านหนังสือที่บ้านแล้วไปสอบได้มั้ย? ---เริ่มตั้งแต่ ป1 นร กลุ่มนี้ จะเริ่มเรียนรู้ว่าสิ่งต่าง ๆ รอบตัวคืออะไร ทำไปทำไม ได้ฝึกการอยู่ร่วมกันกับคนวัยเดียวกันเปรียบเหมือน นักธุรกิจเครือข่ายที่เริ่มต้นทำ จะคิดไปเรื่อยครับว่า บริษัททำไมถึงจ่ายเงิน ทำไมทำแบบนี้ไม่ได้ ทำไมต้องเข้าประชุม สมัคร ๆ แล้ว เอาไปขายไม่ได้เหรอ ทำไมไม่โฆษณา ฯลฯ สิ่งที่พวกเค้าต้องทำคือเข้าไปเรียนรู้ ในเซนเตอร์ครับ ผู้เริ่มต้นจะอยู่ในบรรยากาศของคนที่อยากทำครับคนไหนมีแนวคิดใช่ หรือไม่ใช่ จะถูกคัดกรองด้วยห้องประชุมแบบนี้ครับ

---เริ่มเข้า ป.4 นร กลุ่มนี้จะเริ่มชัดเจนครับ ว่าคนไหนได้เป็นหัวหน้า คนไหนได้เป็นลูกน้อง คนไหนเรียนเก่ง ซึ่งคนเรียนเก่งและเป็นผู้นำ ส่วนมากครูมักจะให้ไปเรียนพิเศษครับ เพื่อให้เด็กเรียนของแต่ละห้องมาอยู่ห้องเดียวกัน เด็กเหล่านี้จะเริ่มรู้จักกัน เกาะกลุ่มกันเรียนรู้ สิ่งที่จะได้คือ ได้สังคมกลุ่มเด็กเรียน ส่วนเด็กเรียนอ่อน ก็จะถูกไปเรียนกับห้องเด็กเรียนอ่อนเช่นเดียวกัน ในกลุ่มนี้จะมีส่วนหนึ่งที่เรียนดีขึ้น พัฒนาตัวเองให้อยู่ในกลุ่มเด็กเรียนเก่งได้แต่ส่วนหนึ่ง ก็จะเกาะกลุ่มกันโดดเรียนเช่นกัน การเป็นผู้นำในห้องเรียน ก็ถือเป็นโอกาสให้เด็กเหล่านั้นฝึกความเป็นผู้นำ ฝึกความกล้าแสดงออก เปรียบเหมือนกับนักธุรกิจเครือข่ายที่เริ่มมั่นใจว่าตัวเองทำได้ เริ่มมีเนื้องานมากขึ้น ทำ House meeting ถี่ขึ้น กล้าสปอนเซอร์ กล้าสอนทีมงาน กล้าแชร์ประสบการณ์ กล้าโมติเวท ฯลฯ สิ่งเหล่านี้พวกเค้าจะเริ่มทำให้เราเห็นในเซนเตอร์ครับ ดังนั้น เซนเตอร์ก็เปรียบเหมือนกับห้องเรียนในระดับแรก ที่พวกเค้าจะเรียนรู้สินค้าฝึกการสาธิต ฝีกการพูดบรรยาย ถ้าเทียบกับเอมสตาร์แล้ว จะเป็นกลุ่มที่ขึ้นตำแหน่งตั้งแต่บรอนซ์สตาร์ถึงโกลด์สตาร์ครับ คนที่ขึ้่นตำแหน่งเหล่านี้จะได้เข้าไปสัมนาในกลุ่มนักธุรกิจระดับบรอนซ์-โกลด์ใหม่ เมื่อเข้าไปพวกเค้าจะได้อยู่ในบรรยากาศของผู้นำระดับต้น ครับ คนอยู่บรรยากาศเดียวกันจะตื่นเต้นที่ได้เจอคนระดับเดียวกัน เรียนรู้เหมือนกัน แชร์ประสบการณ์ให้แก่กัน และตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้นไปครับ ส่วนห้องเรียนกับเซนเตอร์นั้น จะต่างกันตรงที่ ห้องเรียนในโรงเรียนนั้น เด็กจะถูกบังคับให้มาเรียน แต่เซนเตอร์ไม่มีการบังคับ ดังนั้น คนที่ไม่ใช่ จะถูกคัดออกจากธุรกิจด้วยตัวของเค้าเองครับ

---เมื่อเด็กอยู่ในชั้น ป6 , ม1-3 เด็กเหล่านี้จะเริ่มไปเรียนพิเศษตามสถาบันต่าง ๆ ซึ่งจะเจอกลุ่มเดียวกันกับที่พวกเค้าเคยเรียนเมื่อก่อนหน้านี้แต่มีเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น คือ ต้องสอบเข้าเรียนต่อในชั้น ม ต้น และ ม.ปลาย การเรียนการสอนจะเข้มข้นขึ้นและได้บรรยากาศการเรียนรู้จากกลุ่มคนมากหน้าหลายตาจากหลาย ๆ โรงเรียนในจังหวัดนั้นมารวมตัวกัน จากนั้น เด็กเรียนกลุ่มนี้จะเกาะกลุ่มกันไปสอบเข้าโรงเรียนชั้นนำของจังหวัดและจะได้อยู่ในห้องเรียนเดียวกันครับนั่นคือ ห้องคิง ห้องควีน เปรียบเหมือนกับธุรกิจเครือข่าย ที่อยู่ในบรรยากาศที่เป็นผู้นำมากขึ้น และเริ่มมีการแข่งขันกันมากขึ้น ถ้าเทียบกับ เอมสตาร์แล้ว ก็น่าจะระดับแพลตินั่ม-เพิร์ล นักธุรกิจเอมสตาร์ที่เข้ามาระดับนี้นั้น จะเป็นผู้นำที่ชัดเจนมากขึ้นครับ พวกเค้าจะได้เข้าร่วมสัมนาระดับผู้นำ แพลตินั่ม-เพิร์ล ในระดับนี้ งานบริหารเริ่มเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้กันมากขึ้นเพราะทรรศนคติของพวกเค้าจะไม่ใช่แค่อยากทำ อยากได้เงิน แต่เป็นเรื่องของการ รักษาองค์กร สร้างองค์กรให้เติบโต ช่วยคนให้สำเร็จ ผู้นำที่เข้าระดับนี้จะมีเป้าหมายใหญ่ขึ้น นั่นคือเป็นรูบี้สตาร์ในอีกไม่กี่เดือน จะเห็นแล้วนะครับ เมื่อขึ้นระดับที่สูงขึ้น การโฟกัสงาน จะเริ่มเปลี่ยน เพราะคนในองค์กรมากขึ้น ถ้าโฟกัสงานไม่ถูก มีหวังโตช้าครับ

--- นักเรียนในระดับ ม.ปลาย เป้าหมายไม่ใช่แค่เรียนต่อครับ แต่ต้องเลือกเรียนสาขาที่ตัวเองต้องการด้วย เห็นได้ชัดครับ ว่าการโฟกัสนั้นมีการชัดเจนขึ้น กลุ่มที่เป็นเด็กเรียน อยู่ในห้องคิงนั้นจะกดดันกว่าห้องอื่น ๆ เนื่องจากพวกเค้ามีแนวโน้มจะเอ็นท์ติดทุกคน ถ้าใครคนไหนเอ็นท์ไม่ติดล่ะก็เครียดแย่เลย เอ็นท์ติดไม่พอ ต้องได้คณะและสถาบันที่ต้องการด้วยเปรียบเหมือนกับเอมสตาร์ครับผู้นำที่อยู่ในระดับรูบี้สตาร์ และสูงขึ้นไป การโฟกัสงานนั้น จะไม่ใช่แค่ขึ้นตำแหน่งให้ได้เหมือนที่ผ่านมา แต่การบริหารและการแข่งขันจะเริ่มสูงขึ้น หลายคนจะเห็นนะครับว่าในเซนเตอร์จะมีผู้นำระดับรูบี้และไดมอนด์อยู่ในเซนเตอร์เคยตั้งคำถามมั้ยครับ ว่าพวกเค้าได้เงินระดับนี้แล้ว ทำไมไม่หยุดกัน ? ผู้นำเหล่านี้อยู่ในบรรยากาศของการแข่งขันสูงครับ เพราะพวกเค้าจะได้ไปสัมนาผู้นำระดับรูบี้สตาร์และสูงขึ้นไป เพื่อพิชิตตำแหน่งไดมอนด์ และสูงกว่านั้นดังนั้นพวกเค้าจะอยู่ในกลุ่มที่แข่งกันกัน พิชิตเป้าหมายสูงสุดของบริษัทครับ ตราบใดยังไม่ถึงตำแหน่งนั้น พวกเค้าก็ไม่เลิกครับ

---เคยคิดกันมั้ยครับ ว่าทำไมบริษัทต่าง ๆ ถึงรับพนักงานที่จบปริญญาตรีขึ้นไป ? หลายคนบอกว่า วุฒิมีไว้ก็เท่านั้น ความสามารถไม่ต่างกัน ฯลฯ แต่ผมอยากให้มองไปมากกว่านั้นครับ การเรียนในระดับมหาวิทยาลัย นักศึกษาจะเริ่มทำกิจกรรมมากขึ้น การเรียนเป็นแบบผู้ใหญ่มากขึ้น เลือกเอง ตัดสินใจเองซึ่งการทำกิจกรรม จะเป็นการฝึกให้รุ่นพี่รุ่นน้องได้มีปฏิสัมพันธ์กัน การวางตัวในสังคมจะถูกฝึกกันในนี้มากขึ้นครับเพราะการเข้าทำงานบริษัทนั้น จะต้องได้ร่วมทำงานกับคนหลากวัย ต้องเข้ากับทุกคนให้ได้ ดังนั้นเรื่องวูฒิภาวะ เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ นอกจากนี้ คนที่เอ็นท์ติดเข้ามหาวิทยาลัยดัง ๆ นั้น จะได้ฝึกเรื่องการกำหนดเป้าหมาย การแข่งขัน การจริงจังในสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ ฯลฯ ทั้งหมดที่ว่ามานี้ ได้มาจากระบบการศึกษา ที่คัดกรองคนให้อยู่ในบรรยากาศเดียวกัน เรียนรู้แบบเดียวกันผู้ที่ใช่ ผู้ที่ชนะ ก็จะถึงจุดสูงสุดได้ครับเมื่อเรียนจบแล้ว ถ้าเพื่อนร่วมรุ่น เรียนต่อปริญญาโท ซะครึ่งหนึ่ง ถามว่าตัวคุณเองจะอยากเรียนมั้ยครับ ? ในเอมสตาร์เองก็เช่นกัน ถ้าทุกคนอยู่รูบี้ จากนั้นก็ moving up เป็นคราวน์ไดมอนสตาร์กันหมด คุณจะต้องเป็นคราวน์ไดมอนสตาร์มั้ยครับ

ที่ผมกล่าวมาข้างต้นนี้ คือธรรมชาติของธุรกิจเครือข่ายครับ หลัก ๆ ไม่มีอะไรมากครับ เรียนรู้ ฝึกฝน ถ่ายทอด ทำซ้ำ แต่คนจะทำได้ก้ต้องอยู่ในบรรยากาศที่ใช่ และเกาะกลุ่มกันไปตลอดครับ การเปรียบเปรยกับระบบการศึกษา ก็เพื่อเน้นให้เห็นถึงบรรยากาศ การเรียนรู้การแข่งขันครับ คนไหนไม่อยู่ในบรรยากาศ ผมฟันธงว่าไม่รอดครับ ...ระบบในธุรกิจนี้ ถ้าใครมุ่งมั่น อยู่ในระบบ ทำตามวิธีการทึ่ถูกต้อง จะสำเร็จเร็วหรือช้า ก็ต้องสำเร็จซักวันครับ อีกการฝึกฝน การวางตัว มารยาทในสังคม ล้วนแล้วแต่ได้ฝึกในระบบเหล่านี้ล่ะครับ

ในเอมสตาร์นั้น ระบบการขับเคลื่อนก็ไม่มีอะไรมากครับ
1.ฝึกคนทำเฮาส์มีตติ้ง
2.เข้าเรียนรู้ในเซนเตอร์
3.เข้าคอร์สเดอะวินเนอร์
4.เข้างานอีเวนท์ต่างๆ
ระบบก็จะคล้าย ๆ กับบริษัทอื่น ๆ นั่นล่ะครับ

ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็อยู่ที่แต่ละทีม แต่ละบริษัท จะมีเครื่องมืออะไร มา support ให้นักธุรกิจประคอง วิธีการทำงานและแนวคิดที่สามารถถ่ายทอดกันได้มากน้อยแค่ไหน

ระบบการขับเคลื่อนทำให้ บริษัทเหล่านี้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ระบบเหล่านี้ สร้างไว้เพื่อให้คนที่มีทักษะต่างกันสามารถเรียนรู้พัฒนาตัวเองได้ครับ ใครที่บอกว่า ตัวเองไม่เก่ง ทำไม่ได้หรอก จนต้องสรรหาวิธีการอื่น ๆ มาทำ ต้องถามกลับว่าทำตามระบบที่ถูกต้องเต็มที่แล้วหรือยัง ความจริงก็คือ ไม่ได้ทำเต็มที่ และไม่ชอบมากกว่า เลยต้องไปหาวิธีการสารพัดวิธี เพื่อให้ตัวเองได้รายชื่อหรือสร้างองกรค์ง่าย ๆ แต่ก็บอกไว้เลยครับว่าได้ไม่นาน เพราะออกนอกบรรยากาศอย่างที่ผมกล่าวไว้ข้างบนหลายครั้งหลายครา วิธีการที่สรรหามานั้นมักจะทำให้ทรรศนคติของคนเปลี่ยนไป จนข้ามขั้นตอนพื้นฐานของการพัฒนาตัวเองและการวางแผนงาน อย่างเช่นการลิสต์รายชื่อ ......

สูตรสำเร็จของการทำงาน มีการเริ่มต้น ที่ 6 ข้อครับ บริษัทไหนก็สอนกันแบบนี้ 6 ข้อที่ว่านั้น คือ
1.กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนว่าทำธุรกิจนี้ เพื่ออะไร ทำเพื่อใคร ต้องการมีรายได้เท่าไหร่
- โดยต้องเขียนไว้ด้วยนะครับ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ชัดเจน แต่สิ่งที่จะทำให้ความฝันเป้นจริงได้ มันอยู่ที่ว่า เรามีวัตถุดิบมากแค่ไหน ลายแทงหรือวัตถุดิบที่ว่า นั่นก็คือรายชื่อครับ เพราะเราทำงานกับคน เราจะสร้างเครือข่ายคน
2. ลิสต์รายชื่อ
-ขั้นตอนนี้ ก็เป็นสิ่งสำคัญนะครับ แต่เป็นสิ่งที่หลายคนมองข้ามการลิสต์รายชื่อ มีกฏเหล็กตายตัวเลยครับว่า ห้ามคิดแทนคนอื่น หลายคนอาจคิดว่า มีชื่ออยู่แล้วในโทรศัพท์มือถือ จะไปลิสต์อีกทำไมให้เสียเวลาแต่ถ้าผมจะถามกลับว่า คุณจะเริ่มต้นเดือนแรกด้วยการเป็นตำแหน่งอะไร ? คุณจะมีรายได้ที่เท่าไหร่ในเดือนนี้ ? ตอบได้มั้ยครับ ? การลิสต์รายชื่อเพื่อให้เรารู้จักวางแผนและสร้างเป้าหมายให้ชัดเจนถ้าเรามีรายชื่อ 100 คน คิดมาเลยครับว่าคนไหนเป็นคนขยัน มุ่งมั่น ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ต้องการหารายได้เพิ่ม มีปัญหากับรายได้ จัดกลุ่มเป็น ABC เพื่อให้เรารู้ว่า จะต้องไปหา A ก่อน แล้วต่อรายชื่อไปเรื่อย ๆ เราจะรู้ครับว่าวางคนแบบไหน ต้องมีคนในองค์กรเดือนนี้เท่าไหร่ ถ้าอยากเป็นโกลด์ ต้องมีคนในองค์กรฝั่งละ 30 คนปิดซุปเป็นต้น หาคนที่ใช่ คนไหนไม่คิดเหมือนเราก็ข้ามไปก่อน การลิสต์รายชื่อเพื่อให้เรารู้ว่า เรามีคนที่จะสปอนเซอร์กี่คน ถ้ารายชื่อน้อย ท่าทีในการเชิญก็จะเป็นลักษณะตื้อง้อ เพราะเราจะคาดหวังกับเค้าไว้มากแต่ รายชื่อเยอะ ท่าทีในการเชิญก็จะเป็นลักษณะ การมอบโอกาส เค้าไม่ทำ เราก็ข้ามไปหาคนอื่นได้ เราจะรู้สึกว่ามีพลังจากจำนวนรายชื่อนี่ล่ะครับ

ธุรกิจนี้ คุณหมอลพา บอกเองครับ ว่าเป็นธุรกิจแห่งสายสัมพันธ์ คอนเซปต์ เค้าให้แนะนำโดยเริ่มจากคนรู้จัก เพราะความไว้เนื้อเชื่อใจ จะทำให้คนเปิดใจได้ง่ายกว่า ใครคนไหนบอกว่าเริ่มต้นให้ไปชวนคนไม่รู้จักล่ะก็ ? ทีมงานของคุณจะเลิกอย่างรวดเร็ว พร้อมให้เหตุผลว่า "คุณชวนได้ ก็คุณเก่งนี่ เค้าไม่เก่ง ไม่กล้าไปชวนคนไม่รู้จักหรอก " ดังนั้น ขอได้อย่าสร้างแนวคิดแบบนี้ให้กับทีมงานเลยครับ หลายต่อหลายคนเข้ามาในธุรกิจนี้ ไม่มีทักษะในการนำเสนอ โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้า แล้วเค้าจะทำตามคุณได้อย่างไร นี่คืออีกเหตุผลที่ต้องให้พวกเค้าไปเรียนรู้และฝึกฝนใน ห้องประชุมครับ** ทักษะ การวางแผนงาน การวิเคราะห์รายชื่อ จะเริ่มจากจุดนี้ล่ะครับ ใครไม่เคยทำ ย้อนไปกลับทำซะนะครับ**

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น