วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556

กลับมาทำธุรกิจเครือข่ายอีกครั้ง เพราะอะไร ผลลัพท์จะเป็นเช่นไร เชิญติดตามได้เลยครับ

วันนี้ผมมานั่งเขียนบล็อคอีกครั้ง นึกถึงเรื่องราวเก่าๆ สมัยทำธุรกิจเครือข่าย และเลิกทำไป เพราะอะไร ผมถึงหวนกลับมาทำอีก ผมจะเล่าให้ฟังครับ 

ย้อนกลับไปเมื่อ 1 สัปดาห์ที่แล้ว ประมาณวันที่ 2 ธันวา ก็มีโทรศัพท์จากเพื่อนผมคนนึง โทรมาสองครั้งและผมไม่ได้รับสาย ผมแปลกใจที่เพื่อนคนนี้โทรมาหา คิดว่าต้องมีอะไรแน่ๆ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจเครือข่าย เพราะล่าสุดที่เราได้คุยกัน เป็นเรื่องที่เราจะทำเวปของคลับรถ เพื่อจะขายโฆษณากัน 

แต่ผมต้องเล่านิดนึง ว่าเราจะทำเวปนี้ร่วมกันเพราะอะไร อย่างแรกเลย เพราะผมเป็นเซลส์ขายรถโตโยต้า อย่างที่สองผมขายอะไหล่ตกแต่งรถและสุดท้าย ผมมีช่องทางในการรับซื้อและขายรถมือสองครับ เลยพอมี connection ในด้านนี้พอสมควร 

ผมและดิว (ชื่อเพื่อนคนนี้) เลยได้นัดคุยกันเรื่องนี้ครับ จบเรื่องความสัมพันธ์เบื้องต้นแล้ว หลังจากผมเห็นสายที่โทรเข้ามา ผมจึงโทรกลับไป จนได้คุยกับดิวและทราบว่าดิวโทรมาเพราะอะไร ดิวจะโทรมาเล่าให้ผมฟัง ว่าตอนนี้ทอม ซึ่งเป็นเพื่อนของดิว (ธเนศ ลีลาภรณ์) และคุณนุ้ก ธนสิทธิ์ ลาออกจากเอมสตาร์แล้ว ตอนนี้ไปทำในอีกบริษัทที่ชื่อว่า SOL (โซล) ส่วนสาเหตุว่าออกเพราะอะไร ผมคงยังไม่ลงดีเทลในตอนนี้นะครับ 

 หลังจากที่ผมฟังดิวพูด ผมเกิดความงุนงงปนสงสัย ว่าทำไม Founder ของ Clover Group และ Together Group จึงพร้อมใจกันออกมา ทั้งๆ ที่เค้าทั้งสองคนมีรายได้มากพอที่จะหยุดทำงานแล้ว (7 หลักต่อเดือน) ผมจึงใคร่อยากรู้และอยากคุยกับคุณทอม จึงขอให้ดิวนัดให้ 

 และในวันที่ 4 ธันวา ผมจึงเข้ามาที่ตึกเทรนดี้ สุขุมวิท 13 (เป็นเซ็นเตอร์หรือที่จัดประชุมย่อยของ Clover และ Together) พอมาถึง ผมได้มีโอกาสเจอกับน้องเต้ อร่าม (ผู้นำคนนึงในโคลวเวอร์กรุ๊ปรายได้ 6 หลักต่อเดือน) ผมได้คุยกับน้องคนนี้อีกครั้งหลังจากไม่เจอกันประมาณ 3 ปี น้องเค้าได้เลาเรื่องราวของ SOL ว่าบริษัทเป็นยังไง มีรูปแบบการจ่ายผลตอบแทนเป็นยังไง สินค้าที่บริษัทจำหน่ายคืออะไร แล้วทำไมเราถึงออกมา ทำไมถึงเลือกที่นี่ พอผมได้ฟังและสอบถามถึงสิ่งที่ผมสงสัย ผมจึงเข้าใจว่าทำไม และหลังจากนั้น ผมได้คุยกับคุณทอมและสอบถามสิ่งที่อยู่ในใจผมอีกรอบว่าทำไม 

 พอกลับมาบ้าน ผมนั่งครุ่นคิดและวิเคราะห์ รวมถึงดูข้อมูลทั้งหมดอย่างละเอียดอีกที ผมนึกถึงช่วงสองถึงสามเดือนที่ผ่านมา ผมถูกชักชวนจากเพื่อน รุ่นน้องและรุ่นพี่ ให้ทำธุรกิจเครือข่ายจากทั้ง Unicity และ Organo Gold ผมคิดว่าผมอาจไม่กลับมาทำอีกแล้ว แต่ลึกๆ ผมรู้สึกว่าผมยังอยากทำแต่ไม่ใช่เวลานี้ 

ก่อนหน้านี้ผมได้อ่านหนังสือเล่มนึงของคุณพอล ภัทรพล ชื่อหนังสือว่า "เหนื่อยชั่วคราว สบายชั่วโคตร" ในหนังสือได้บอกเล่าเรื่องราวของการทำงาน การเติบโตของ ตัวคุณพอล การเป็นเจ้าของธุรกิจที่ไม่ง่าย รวมถึงการสร้าง Passive Income (รายได้ที่ไหลเข้าตลอดแม้ว่าเราไม่ได้ทำงานแล้ว) ในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเงินปันผลจากหุ้นปันผลพื้นฐานดี (ไอดอลเรื่องนี้คือ ดร.นิเวศน์ เป็น Value Investor เบอร์หนึ่งของเมืองไทย) หรือธุรกิจที่มีคนทำงานแทนเรา รวมถึงธุรกิจเครือข่ายด้วย มันเหมือนโดนกระตุ้นครับ ทำให้ผมอยากกลับมาสร้างท่อเงิน เพื่อให้มีเงินไหลเขามาให้ในกระเป๋าผมตลอดเวลา ประจวบกับที่ดิว โทรมาเล่าเรื่องราวให้ผมฟังพอดี 

 หลังจากที่ผมคิดอยู่อีกสองวัน ผมตัดสินใจ ว่าผมจะกลับมาทำธุรกิจเครือข่ายอีกครั้ง และครั้งนี้ผมจะทำเต็มที่เท่าที่ทำได้ ทำให้สุดเหยียดให้เท่ากับความเชื่อที่ผมมี ว่าผมจะสำเร็จได้ 

 วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม 2556 ผมไป House meeting สินค้าครั้งแรกที่บริษัท (อยู่แถวซอยปรีดีพนมยงค์) ผมได้เจอน้องท้อด น้องเต้ น้องวิทย์และคนอื่นๆ บรรยากาศเดิมๆ เริ่มกลับมา ผมเริ่มทวนความจำ วิธีการ เทคนิคการพูด การสร้างแรงบันดาลใจ ผมเริ่มรู้สึกว่าได้กลับมาทำธุรกิจอีกครั้ง วันนี้ผมได้มาเก็บความรู้เรื่องสินค้า และการสร้่งองค์กรที่มีการ เตรียมการสำหรับทริปแรกคือทริปญี่ปุ่น ซึ่งมันง่ายมากในความคิดของผม ผมมองว่าสิ่งที่น้องเต้ถ่ายทอดออกมา ทำให้ทีมงานทุกคนรวมทั้งผมเห็นภาพอย่างชัดเจนขึ้น 

 วันอังคารที่ 10 ธันวาคม 2556 ผมไปเซ็นเตอร์อีกครั้ง ครั้งนี้มีนัดกับดิวและทอม เรื่องการวางผังองค์กรต่อไป ทอมพูดให้ผมนึกถึงผู้นำที่จะมาช่วยเราคุมทีม ช่วยเราจัดองค์กรได้ ผมนึกถึงน้องคนนึง น้องคนนี้จบที่จุฬา ที่บ้านทำธุกิจการ์เม้นท์ที่ใหญ่อันดับต้นๆ ของเมืองไทย ผมเคยคุยกับน้องเรื่องนี้เมื่อสาม-สี่วันที่แล้ว น้องยังไม่ตกลงเพราะติดอะไรบางอย่าง ผมคุยกับน้องทางไลน์อีกครั้ง และน้องตัดสินใจที่จะมาคุยกับผมและทอมที่เซ็นเตอร์ในวันพรุ่งนี้ (11 ธันวา 2556) เพราะเซ็นเตอร์กลุ่มผม จะจัดทกวันพุธครับ และในวันพุธนี้ ผมได้พยายามชวนเพื่อนๆ น้องๆ พี่ๆ ที่รู้จักกัน ที่เคยทำงานร่วมกัน มาฟังโอกาสทางธุรกิจนี้อีกครั้ง ผมเชื่อว่าคนที่ผมชวนมา จะมีโอกาสสำเร็จไปพร้อมกับผม อย่างแรกเลย ผมอยากพาทุกคนไปญี่ปุ่นด้วยกัน และผมอยากไป 2 ที่นั่ง เพราะที่นี่ ทำแบบนั้นได้ครับ ผมคิดและแพลนไว้ ว่าใครจะไปกับเราบ้าง วันนี้ผมนั่งคิดเรื่องนี้และ เขียนบล็อคขึ้นมา เพื่อเตือนความจำและถ่ายทอดวิธีคิดของผมลงไป เย็นนี้จะเป็นเช่นไร ผมจะมาอัพเดทอีกทีครับ

วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

After Meeting


ทำไมต้อง After Meeting
.
หลายครั้งที่ผมเข้าเซ็นเตอร์ในช่วงแรก พอหมดรอบการเรียนรู้ ผมต้องรีบหนีกลับทุกครั้งเพราะกลัวการ After นี่แหละ เพราะในช่วงแรกที่เข้ามาทำธุรกิจเอมสตาร์ ผมไม่เข้าใจว่า ทำไม!! ต้องมานั่งล้อมวง พูด ๆ แล้วก็ปรบมือ เย้ว ๆ
.
แต่รู้มั๊ยครับ ผมพลาดสิ่งที่สำคัญที่สุดในรอบการเรียนรู้ไปแล้ว เพราะการ After Meeting เป็นการที่ทำให้เราได้ตกผลึกทางความคิดจากรอบการเรียนรู้นั้น ๆ ให้ออกไปทำงานต่อได้ และยังได้เรียนรู้เพิ่มเติมจากนักธุรกิจท่านอื่น ที่ได้แชร์มุมมอง ความรู้ที่ได้ รวมถึงการที่จะนำไปใช้ได้อีกด้วย ซึ่งนี่เป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญ ที่ผมรู้สึกว่า เราได้เรียนรู้อะไรเพิ่มอีกมากมายในรอบการเรียนรู้แต่ละสัปดาห์ คำถามที่ MC ในวง After ถาม จะทำให้เราได้คิดต่อ ว่าเราจะทำยังไงต่อไป มีแนวทางการทำงานแบบไหน และได้รู้แนวทางการทำงานของเพื่อน ๆ ที่เราสามารถมาประยุกต์ใช้กับเราได้อีกด้วย
และพอเราเริ่มเป็นผู้นำ วง After Meeting สำคัญมากครับ เพราะอะไร เพราะทุกรอบการเรียนรู้ ทุกรอบการประชุม เราสามารถหา Star จากในวง After นี่แหละ เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ทีมงานเราทั้งหมดที่อยู่ใน Center มีคนไหน Hot!! บ้าง รวมถึงคนใหม่ที่มาเข้าห้อง COM ด้วย คนไหนแชร์ดี คนไหนแชร์ Hot เราสามารถหา Star ได้จากในวง After แล้วออกไปทำเนื้องานร่วมกับเค้า ให้เค้ามีเนื้องานเร็วที่สุด
.
ส่วนในห้อง CT1 (ห้องเทรนนิ่ง) เราสามารถเช็คอุณหภูมิทีมงานได้ รวมถึงเช็คได้จากที่เค้าแชร์ ว่าจากรอบการเรียนรู้นี้ สิ่งที่เค้าได้ เค้าจะไปทำอะไรต่อ และเรา สามารถที่จะเลือกโฟกัสทีมงานถูกจุดได้ด้วย
.
ฉะนั้น การ After Meeting เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เราสามารถโตต่อได้ สามารถพัฒนาทีมงาน ทำงานกับทีมงานได้ถูกจุด ตรงจุด ไม่โฟกัสมั่วนั่นเอง
.
สุดท้ายฝากไว้ครับ ในการทำธุรกิจเอมสตาร์ในกลุ่ม Clover Group เราจะถือคติอีก 1 อย่างคือ No After No Clover Group, No After No Aimstar!!!
.
ส่วนขั้นตอนหลังจาก After Meeting!!! เราจะต้องทำยังไงกันต่อ ติดตามบทความต่อไปครับ....

วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เคลียร์ ทัศนคติ เกี่ยวกับธุรกิจเครือข่ายครับ หวังว่าผู้ที่ได้อ่านบล็อกนี้ จะมีความรู้เพิ่มขึ้นในการนำไปเลือกใช้ในการตัดสินใจในการทำธุรกิจนะครับ

การสร้างเครือข่ายไม่ใช่วิธีที่ทำให้รวยได้ภายในพริบตา แต่เป็นธุรกิจที่สะสมความสำเร็จไปได้ทุก ๆ วัน โดยเน้นการลงทุนต่ำ อัตราการเสี่ยงน้อย และใช้สินที่มีคุณภาพดีควบคู่ไปด้วย

ลงทุนต่ำ คือ เท่าไหร่ แล้วเราจะได้อะไร ? เป็นเรื่องปกติถ้าผมจะบอกว่าใครที่ผมจะแนะนำให้เอาเงินมาลงทุน 3000 บาทกับธุรกิจเครือข่าย เค้าก็คงไม่อยากจะร่วมด้วยนักนั่นเป็นเพราะว่าเป็นเรื่องปกติที่คนเรามักจะกลัวในสิ่งที่ยังไม่รู้ว่าจะได้อะไร แต่ถ้าผมบอกว่า คุณเอาเงินมาลงทุน 3000 บาท แล้ว 6 เดือน - 1 ปี คุณได้รับเดือนละ 1 แสนบาทขึ้นไปแล้วได้เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ แบบนี้คงดูน่าสนใจนิด ๆ แล้วใช่มั้ยครับ การลงทุนของบริษัทแค่ซื้อของใช้เข้าบ้านครั้งนึง ประมาณ 3000 บาท ครั้งเดียว เพื่อลองสินค้าจากบริษัทว่าดีจริงๆ ก็สามารถเริ่มธุรกิจจากบริษัทนี้ได้แล้ว สินค้ามีทุกประเภท ตั้งแต่ กระดาษซับมัน ยาสีฟัน แชมพู สบู่ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ หรือชุดลดน้ำหนัก สินค้าเป็นสินค้าที่ดีจริงๆ คุณที่ใช้จะเห็นผลและมีความประทับใจเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถือว่าเป็นการลงทุนที่ต่ำมาก เพราะเราแค่เปลี่ยนของยี่ห้อเดิมที่ใช้อยู่ มาลองใช้ผลิตภัณฑ์จากบริษัทเท่านั้นเอง ทีนี้ลองเปรียบเทียบกับธุรกิจอื่นๆ ที่จะต้องลงทุน เอาเป็นขายก๋วยเตี๋ยวแล้วกัน คุณจะต้องหารถเข็นสักคัน เก้าอี้ โต๊ะ ชาม ตะเกียบ รวม ๆ ผมว่าน่าจะเกิน 3000 บาทแล้วนี่ยังไม่รวมค่าเส้นก๋วยเตี๋ยว ลูกชิ้น อื่นๆ อีกมากมาย เพื่อที่จะเริ่มขายเพื่อเอากำไรต่อไป สุดท้าย คุณเสียเงินไปสักประมาณ 15000 บาท เพื่อเริ่มขายก๋วยเตี๋ยว เดือนแรกคุณขายได้กำไร 5000 บาท แสดงว่าคุณอาจจะต้องใช้เวลา 3 เดือนในการคืนทุนและเดือนที่ 4 ถึงจะเป็นกำไรจริง ๆ หลังจากการลงทุน เช่นเดียวกันธุรกิจเครือข่ายครับ มันต้องใช้เวลาในการคืนทุน แต่ส่วนใหญ่คนที่ล้มเหลว จะล้มเลิกไปเองมากกว่า

ทีนี้ผมอยากให้คุณลองเปรียบเทียบว่า ถ้าคุณทำงานได้เงินเดือน เดือนละ 20000 บาท คุณทำเป็นเวลา 30 เดือน (ประมาณ 2ปี ครึ่ง) คุณจะได้รับรายได้ รายได้ทั้งหมด 20000 x 30 = 600,000 บาท นี่คือรายได้ทั้งหมดที่คุณจะได้จากการทำงานประจำ ทีนี้เป็นรายได้ที่คุณจะได้รับจากธุรกิจเครือข่าย เดือนแรกคุณทำเงินจากธุรกิจเครือข่ายได้ 1 บาท คุณว่ามันดูน้อยมั้ยครับ .... ใช่ครับ มันน้อยมาก แต่ที่คนทำธุรกิจเครือข่าย เค้ามองเห็นความสำเร็จมันไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่อยู่ที่ในเวลาต่อมาตะหากเดือนต่อมา เค้าเริ่มสร้างเครือข่ายด้วยการแนะนำผลิตภัณฑ์ที่ดีเลิศจากบริษัท ทำให้เค้าได้รับรายได้ 2 บาทในเดือนที่ 2 เค้าทำต่อเนื่องในเดือนที่ 3 ได้รับ รายได้ 4 บาท จากการที่เพื่อนของเค้าได้บอกต่ออีก คนละ 2 คนทำต่อเนื่องเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ในเดือนที่ 30 เค้าจะได้รับ 536,870,912 บาท (คุณเชื่อหรือไม่ ลองกดเครื่องคิดเลขดูนะครับ^^) อันนี้ผมยกตัวอย่างตัวเลขที่น้อยมาก ๆ จาก 1 บาท เพราะถ้าทำจริง ๆ มันก็คงไม่ใช่ 1 บาทแน่นอน

นี่แหละครับคือ พลังของการทำงานแบบเครือข่าย ยังจำได้มั้ยครับ ว่าคุณแนะนำไปทั้งหมดกี่คน ในเดือนแรก ........... 2 คนเท่านั้นครับดังนั้นคุณคงจะเริ่มเข้าใจบ้างแล้วว่าธุรกิจเครือข่ายเป็นงานสะสมความสำเร็จอย่างไร แน่นอนครับ มีคนทำธุรกิจเครือข่ายได้สำเร็จเร็วกว่านั้น ไม่ต้องใช้เวลา 30 เดือนหรอก คุณจะเห็นหลักแสนแน่ๆภายใน 6 เดือน - 1 ปี (ถ้าคุณลองกดเครื่องคิดเลขดูจะรู้ว่าเงินถึงหลักแสนในเดือนที่ 17 คืออย่างช้าจริงๆคุณจะได้รับรายได้หลักแสนภายใน 1 ปีครึ่ง) ถ้าคุณรุ้ว่าธุรกิจเครือข่ายสามารถสร้างรายได้มหาศาลให้คุณได้จริงๆ และคุณลงมือทำทุกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ตามระบบของบริษัทบางคนอ่านถึงตรงนี้ ก็จะบอกว่ามันจะเป็นไปได้หรอ ถ้าเราทำแล้วคนอื่นไม่ทำ เราจะได้รับหลักแสนแบบนี้ได้ยังไงคำตอบคือ การที่ผมอธิบายให้ผู้ที่อ่านอยู่ได้มีความรู้เพียงพอว่าธุรกิจเครือข่ายสามารถให้อะไรได้มากกว่าผลิตภัณฑ์ที่ดีเลิศใช้แล้วประทับใจ เมื่อครบ 17 เดือนจะได้รับรายได้หลักแสนโดนชวนคนเพียง 2 คนในตอนแรก และสอนให้ 2 คนนั้นเข้าใจว่าธุรกิจเครือข่ายให้อะไรเราได้ สอนเค้าอย่างที่ผมสอนคุณให้เค้าเข้าใจถึงที่มาของรายได้ โดยลงทุนเพียง 3000 บาท นี่ยังไม่น่าสนใจและคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปอีกหรอครับ คนที่เค้าปฏิเสธธุรกิจเครือข่าย ผมว่าส่วนใหญ่เนื่องมาจากเค้าไม่รู้ครับว่าธุรกิจเครือข่ายให้เงินมหาศาลแบบนี้ได้ แต่ถ้ารู้ว่ามันให้ได้ขนาดนี้แล้ว ผมเชื่อว่ายังไง ๆ ก็ต้องทำ คงไม่มีใครที่ไม่อยากให้ตัวเองและคนที่เรารักมีชีวิตที่ดีขึ้นหรอกครับ

บริษัทเอาเงินที่ไหนมาจ่ายเราเยอะแยะขนาดนี้ ? ก่อนจะตอบคำถามนี้ผมอยากให้คุณที่อ่านคิดตามผมนิดนึง คำถามมีอยู่ว่า คุณว่าดาราที่เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้สินค้านั้นๆ เค้าได้ใช้ของนั้น ๆ เองรึเปล่า เค้าออกมาพูดหน้าทีวีว่ามันดีอย่างนู้นอย่างนี้ คุณว่าเค้าได้ใช้จริงๆหรือ ? คำตอบคงอยู่ในใจทุกท่านแล้วนะครับ แต่บริษัทที่จ้างดารามาเป็นพรีเซ็นเตอร์นั้น ต้องจ่ายเงินให้กับดาราคนนั้นที่มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ แล้วรู้มั้ยว่าเค้าเองเงินที่ไหนไปจ่ายให้ดาราคนนั้น ? เงินที่เราไปซื้อของเค้าโดยคิดว่าของนั้นมันดีตามคำโฆษณาใช่มั้ยครับ ? นั่นเป็นคำตอบที่ผมจะตอบผุ้ที่สงสัยในคำถามข้อนี้ครับ บริษัทไม่ต้องเสียค่าโฆษณา หรือค่าจ้างพรีเซ็นเตอร์ดัง ๆ มาโฆษณาให้กับบริษัท แต่สินค้าที่ขายออกไปทุกชิ้นนั้น จะมีกำไรเข้าบริษัทอยู่แล้ว (เพื่อที่บริษัทจะได้เอาไปขยายกิจการและพัฒนาสินค้าต่อ ๆ ไป) และบริษัทจะแบ่งกำไรส่วนนั้นแหละครับ มาจ่ายพวกเราทุกคนนักธุรกิจเครือข่ายที่เข้าร่วมใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดี และกล้าที่จะบอกต่ออย่างเต็มปากว่าใช้แล้วดี ใช้แล้วเห็นผลจริงๆ

เชื่อมั้ยครับว่า การเคลื่อนสินค้าจากบริษัทสู่ผู้บริโภคด้วยการบอกต่อ ปากต่อปาก นั้นทำการตลาดได้จริงๆ ถ้าไม่เชื่อคุณลองนึกถึงเวลาคุณเจอร้านอาหารดี ๆ สักร้านแล้วอยากแนะนำให้เพื่อนไปกินที่ร้านนี้ดูสิ หรือเราเคยเข้าไปใน social network อย่าง pantip.com/cafe ที่เวลาคนไปเจอร้านค้าดี ๆ แล้วมา review ให้ดู ไม่ว่าจะเป็นการ review ร้านอาหารอร่อย ๆ หรือจะเป็น review รีสอร์ทสวย ๆ หรือการ review ในห้องแป้ง (เรื่องการดูแลสุขภาพ ความสวยความงาม) เพราะผมก็เป็นคนนึงที่ชอบเข้าไปในบอร์ดของ pantip นั่นแหละครับคุณกำลังทำตัวเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ร้านเค้า ทางร้านค้าได้ลูกค้าเพิ่มอีก 1คน ได้กำไรเพิ่มอีก 1 คน (แต่คุณจะไม่ได้รับ ค่าตอบแทนในการเป็นพรีเซ็นเตอร์เลยสักบาท) หลายคนอาจจะบอกว่าไม่เป็นไร เราแนะนำด้วยความเต็มใจ เพื่อที่เพื่อนจะได้กินอาหารอร่อย ๆ ดี ๆ สักร้านหนึ่งที่เราบอกว่าดีนั่นแหละครับ แต่สิ่งที่ผมยกตัวอย่าง ไม่ใช่เพราะว่าการ review แบบนี้ไม่ดี มันดีมาก ๆ ครับ เพราะผมก็ชอบเข้าไปดู เข้าไปอ่าน แต่ผมอยากให้คุณคิดแบบนั้นในการทำธุรกิจเครือข่าย แค่แนะนำสิ่งที่ดีจริงๆให้กับเพื่อนก็พอแล้ว ส่วนเพื่อนคุณจะไปกินที่ร้านอาหารนั้น หรือไม่กินที่ร้านอาหารนั้นก็เป็นอีกเรื่องนึงใช่มั้ยครับ?^^

ดีจริงทำไมมีแต่ ภาพแห่งความล้มเหลว ? ถ้าธุรกิจนี้ดีจริงทำไม ทำไมจึงมีคนเดินออกจากธุรกิจ ? แล้วคนทั้งโลกไม่ทำธุรกิจแบบนี้กันไปหมดแล้วหรือ ? คนสุดท้ายจะแนะนำใคร ?
ผมจะยังไม่ตอบคำถามนี้นะครับ แต่อยากให้คุณที่อ่านอยู่ช่วยกันคิดตามผมสักหน่อย หลาย ๆ คนที่อ่านอยู่อาจจะนับถือศาสนาพุทธ และพระพุทธเจ้าได้สอนไว้ว่า ให้ปฏิบัติธรรมสายกลางจนไปสู่นิพพาน คือทางออกและความสุขที่ดีที่สุด ถามว่าถ้าทุกคนเข้าใจคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าพร้อม ๆ กัน จนบวชพร้อมกันหมด แล้วเมื่อพระภิกษุตื่นขึ้นมาบิณฑบาตรตอนเช้า แล้วใครจะมาใส่บาตรให้พระ ? คำตอบอยู่ในคำถามนั้นครับ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ทุก ๆ คนคิดเหมือนกันหมด และทำเหมือนกันหมด และผมเชื่อว่าธุรกิจเครือข่ายไม่ใช่สิ่งที่ใช่สำหรับทุกคน แต่ธุรกิจเครือข่ายเป็นเพียงแค่เครื่องมือที่จะไว้ใช้หาเงิน เงินที่ทำให้หลาย ๆ คนใช้ชีวิตสุขสบายขึ้น ถ้าคนที่เป็นเจ้าของกิจการพันล้าน เค้าก็คงไม่ทำธุรกิจเครือข่ายหรอกครับ เพราะเค้ามีเงินอยู่แล้ว แต่เค้าอาจจะสนใจเรื่องสุขภาพ เราก็อาจจะแนะนำสินค้าคุณภาพดีเลิศให้กับเขา หรือบางคนที่ได้ทำงานที่ฝันไว้ (ฝันไว้ว่าอยากจะเป็นอะไรในตอนเด็ก ๆ แล้วโตมาได้เป็นจริง ๆ) ต่อให้เป็นลูกจ้างไปตลอดชีวิต เค้าเองก็สบายใจ เพราะเค้าชอบในงานที่เค้าทำ

แต่ในความเป็นจริงแล้วคนส่วนใหญ่ เค้าไม่ได้ทำงานที่ชอบ หรือถูกสังคมบีบบังคับให้ทำอะไรที่ตัวเองไม่ได้ชอบ แต่จำใจต้องทำเพราะเพียงว่าให้ได้เงินเพื่อมาใช้ดำรงชีวิตประจำวัน แต่ผมเชื่อนะครับว่าถ้าคนเราทำในสิ่งที่ชอบมักจะสำเร็จและเจริญรุ่งเรืองในสิ่งที่ตัวเองรัก แต่คุณเองก็เห็นใช่มั้ยครับว่า ยังมีคนที่ร้องเพลงได้เก่ง เค้าร้องเพลงและมีความสุข เค้ามีความสามารถมากกว่านักร้องบางคนที่ออกอัลบั้มแล้ว แต่เค้าก็ยังไม่ได้เป็นนักร้องอีกมากมาย แต่ชีวิตมันต้องดำเนินต่อไป จะร้องเพลงไปตลอดเพราะทำแล้วมีความสุข มันก็ใช่ แต่เพื่อความมั่นคงของชีวิต ก็คงต้องหาอะไรทำสักอย่างเพื่อเลี้ยงชีพ ถามว่าสุดท้ายแล้ว เรามีเงินทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ หรือ เราทำในสิ่งที่ตัวเองชอบขณะที่ยังไม่มีเงิน ดีกว่ากัน ? และแบบไหนจะช่วยนำพาเราไปสู่ความฝันได้เร็วกว่า ?

ทีนี้ผมจะตอบคำถามด้านบนนะครับ คนที่เดินออกจากธุรกิจ ส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่าธุรกิจเครือข่ายเป็นงานสะสม อาจเป้นเพราะคนที่ไปสปอนเซอร์ หรือเปิดโอกาสทางธุรกิจให้เค้า มีความรู้ไม่ถูกต้องเพียงพอในการดำรงธุรกิจ ซึ่งตอนไปชวนคุณมาร่วมธุรกิจเครือข่าย ก็บอกเค้าว่า "ง่าย เดี๋ยวก็ได้เงินคืน ลงทุนน้อยได้คืนเยอะ หรืออะไรก็ตามที่ทำให้ดูว่าการทำงานระบบธุรกิจเครือข่าย นั้นมีความง่ายมากเพียงแค่คุณก้าวสู่บริษัท ก็จะได้รับความสำเร็จแล้ว" ..... แต่จริงๆแล้วมันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย ตามธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อผิดหวังจากความหวังที่ตั้งไว้ตอนแรก ก็จะล้มเลิกในที่สุดเป็นเรื่องธรรมดาครับ และนอกจากนี้คนที่ผิดหวังยังนำเรื่องราวที่ตัวเองได้ประสบมา ไปเล่าต่อ เล่าสู่กันฟังจนทำให้หลายๆคนที่ยังไม่รู้จักธุรกิจเครือข่าย พอได้ยิน ชื่อนี้ ก็แหยไปตาม ๆ กัน ดังนั้นผมจะอธิบายไว้ตรงนี้เลยนะครับว่า ธุรกิจเครือข่ายเป็นงานสะสมที่ทุก ๆ คนสามารถทำเสริมไปได้โดยไม่กระทบต่อชีวิตประจำวัน ดังนั้นถ้าคุณสละเวลา 5-15 ชม./สัปดาห์ ทำธุรกิจ และเรียนรู้เพิ่มเติมไปเรื่อยๆ คุณจะเข้าใจว่าความสำเร็จจะเข้ามาหาคุณอยู่ตลอด และจะเห็นจริง ๆ เมื่อคุณลงมือทำทุกครั้ง ส่วนคนที่ทำไม่สำเร็จส่วนใหญ่ตรงนี้ถือเป็นข้อแรกเลยครับ คุณไม่ได้สละเวลาสะสมธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

อีกข้อนึงและเป็นประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่งคือ เลือกบริษัทผิด แผนธุรกิจที่ช่วยให้คนประสบความสำเร็จไวนั้น มีประโยชน์อย่างมาก เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่เบื่อที่จะต้องทำอะไรซ้ำ และยิ่งไปกว่านั้น ทำซ้ำแล้วยังไม่เห็นผลที่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น และก็จะท้อและเลิกไปในที่สุด แล้วเราจะเลือกบริษัทยังไงหล่ะที่ช่วยเราไปให้ถึงความสำเร็จ?... ผมวิเคราะห์แบบนี้นะครับ การที่คุณจะเข้าสู่บริษัทธุรกิจเครือข่ายสักบริษัทหนึ่ง ถ้าคุณไม่ได้ประทับใจสินค้า ที่เกิดการใช้เองแล้ว คุณจะไม่สามารถดำรงอยู่ในธุรกิจนี้ได้เลย และถ้าสินค้าเป็นสินค้าที่ฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น ยิ่งไปกันใหญ่ คุณคิดว่าคุณจำเป็นต้องกินอาหารเสริมทุกเดือน ที่มีราคา 2000-5000 บาท เป็นประจำมั้ยครับ? แค่คิดก็เหนื่อยแล้วที่จะต้องเสียเงินมากขนาดนั้น ขณะที่ยังไม่มีรายได้เข้ามาจากธุรกิจ แต่ถ้าเป็นการซื้อของที่ต้องใช้ เช่น แชมพู สบู่ ยาสีฟัน โลชั่น โฟมล้างหน้า ที่ต้องใช้ประจำเดือนละ 900 บาท เพื่อให้เกิดธุรกิจหล่ะ .... มันน่าสนใจกว่ามั้ยครับ คนส่วนใหญ่ที่เข้าไปในธุรกิจที่ใช้สินค้าฟุ่มเฟือยเกินเหตุ สุดท้ายแล้วก็จะหยุดใช้ และล้มเลิกจากธุรกิจ และยังบอกอีกด้วยว่าธุรกิจเครือข่ายมันก็เหมือน ๆ กันหมด ทำให้ภาพลักษณ์ของธุรกิจเครือข่ายในเมืองไทยเสียไปเยอะเลยทีเดียว และทำให้นักธุรกิจที่ดำรงธุรกิจด้วยความถูกต้องทำงานยากขึ้นเพราะ ทุกๆคนกลัวว่าที่จะโดนหลอกไปทำธุรกิจ และเป็นเหยื่อของธุรกิจ และจะปิดโอกาสในการรับรู้ถึงธุรกิจดีๆ ตัวอื่นๆที่เข้ามา

ข้อที่ 3 คือ การลงทุนที่เยอะเกินเหตุ ธุรกิจเครือข่ายส่วนใหญ่ก่อนที่จะเริ่มต้นธุรกิจได้ จำเป็นต้องซื้อของก่อนเพื่อทดลองใช้ว่าดีจริงหรือไม่ (เพื่อให้คุณใช้แล้วประทับใจและกล้าที่จะแนะนำต่อแบบปากต่อปาก) ซึ่งบริษัทที่ตั้งใจจะขยายเครือข่ายผู้บริโภคจริง ๆ จะต้องมั่นใจในสินค้าที่ขายออกไป และยังกล้าการันตี คือ คืนเงินให้กับผู้บริโภคถ้าไม่พอใจในสินค้า และเงินที่ลงทุนก้อนแรกนี้ ต้องไม่เยอะเกินไป สำหรับบริษัทที่ตั้งใจจะขายสินค้าในระยะยาวแล้ว ควรจะลงทุนในหลักพัน และมีสินค้าหลากหลายให้ผู้บริโภคเลือกทดลองใช้ แต่ถ้าต้องลงทุนครั้งแรกเป็นหมื่น, 20000, 50000 หรือ 80000 โดยมีสินค้าให้เลือกใช้อยู่ไม่กี่อย่าง แล้วแบบนี้ของเราไม่กองเต็มบ้านหรอครับ แล้วใครจะเป็นผู้ใช้? แล้วจะแบบนี้จะกล้าพูดได้ยังไงว่า ธุรกิจเครือข่ายใช้เงินลงทุนน้อยค่อย ๆ สร้างเครือข่ายผู้บริโภคได้ ผมเชื่อว่าคงไม่มีบ้านไหนบริโภคของกันเป็นหมื่น ๆ บาทต่อเดือนหรอกนะครับ ยิ่ง 80000 นี่ยิ่งไปกันใหญ่ ธุรกิจพวกนี้อาจจะหลอกล่อให้คุณเข้าไปทำโดยสร้างฝันให้คุณคิดว่าจะได้รับรายได้ที่มากกว่ารายจ่ายกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว อาจด้วยการขายสินค้าที่มีอยู่นั้น เพื่อเอากำไร หรือชวนคนที่อยากรวยทางลัดมาลองดูต่อจากคุณอีกที ภาพเสียพวกนี้ ทำให้คนพูดกับปากต่อปาก ว่าธุรกิจเครือข่ายหลอกลวงได้ และผมเชื่อว่าหลายๆ คนที่อ่านอยู่อาจจะมีความคิดด้านลบ ๆ เกี่ยวกับธุรกิจเครือข่ายอย่างนั้นอยู่บ้าง จำไว้นะครับ อย่าให้ใครมาสร้างฝันแทนคุณ และอย่าให้ความโลภเข้าครอบงำหลังจากอ่านทั้ง 3 ข้อนี้แล้วผมอยากให้ผู้อ่านลองคิดถึงฝันของตัวเองที่อยากได้หรืออยากเป็น และคิดว่าอะไรที่ทำให้ถึงความฝันของตัวเองได้ แล้วความฝันนั้นจะเป้นแรงผลักดันให้คุณเริ่มทำการเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองทั้งหมดเป็นวิธีการเลือกทำธุรกิจเครือข่าย ในมุมมองของผมเพื่อที่จะไปให้ถึงฝันของตัวเอง และเชื่อว่าผู้ที่ได้อ่านอยู่จะได้ประโยชน์ในการเลือกธุรกิจเครือข่ายที่จะเข้าร่วม ไม่มากก็น้อย หรือคนที่ปิดใจในธุรกิจได้อ่านแล้วอาจจะลองศึกษาดูบ้าง เพื่อเป็นโอกาสในการเริ่มเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณเอง เชื่อเถอะครับว่าการทำธุรกิจเครือข่าย ได้อะไรมากกว่าที่คุณคิด

หากสนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกิจเอมสตาร์ แบบเปิดเผยทั้งหมดทั้งข้อมูล วิธีการทำงาน การสร้างเครือข่ายติดต่อผมได้

นักธุรกิจ Aimstar ธีรวุฒิ (หนุ่ม)
086-3542824, 089-6767671
E-mail & msn : kunnoom1@hotmail.com

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

"ระบบ" ในธุรกิจเครือข่าย แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร เราจะได้ประโยชน์อะไรจากระบบนี้

ระบบการขับเคลื่อนในธุรกิจเครือข่าย

ผมอยากให้อ่านเพื่อศึกษาไว้ สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มเข้าวงการนี้เพราะบ่อยครั้งเหลือเกิน จะได้ยินว่า บริษัทนี้มีระบบ ทีมงานเรามีระบบ หลายครั้งคุณจะเจอกับระบบต่าง ๆ ที่โปรโมทกันตามเว็บสิ่งเหล่านั้นที่คุณเห็นมักเป็นเพียงสื่อเท่านั้นครับไม่ใช่ระบบ รู้มั้ยครับว่าระบบที่ว่ามันคืออะไร ?ระบบดึงดูดนั้นเอาเข้าจริง ๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่เลยครับเราเห็นกันบ่อยแล้ว ประเภทให้กรอกข้อมูล โดยไม่บอกอะไร ให้คนสงสัยแล้วติดต่อกลับไปเริ่มพัฒนาหน่อย ก็ทำเป็นว่ามีวิธีการใหม่ ให้คนเริ่มเข้าศึกษาไปด้วย แล้วติดตามต่อไปหรือให้เข้าไปเรียนรู้ในสื่ออย่างแคมฟร๊อก skype หรือ Net meeting ต่าง ๆ

การเรียนรู้ในระบบเครือข่ายนั้น ไม่ใช่แค่เรียนรู้ครับ ถ้าคุณคิดแบบนั้น จะเหมือนคนที่อ่านหนังสือแล้วไปสอบทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ปริญญา ไปสมัครงาน ระบบขับเคลื่อนนั้นจะให้ดีต้อง ทำให้ทุกคนมีแนวคิดเหมือนกัน ทำงานเหมือนกัน และมีการฝึกทักษะได้ทุกคนครับ

ผมขอโยงเข้าไปถึงเรื่องของระบบการศึกษานะครับ ทุกคนผ่านเรื่องนี้มา แต่เคยย้อนคิดกันมั้ยครับว่าทำไมต้องไปโรงเรียน ? อ่านหนังสือที่บ้านแล้วไปสอบได้มั้ย? ---เริ่มตั้งแต่ ป1 นร กลุ่มนี้ จะเริ่มเรียนรู้ว่าสิ่งต่าง ๆ รอบตัวคืออะไร ทำไปทำไม ได้ฝึกการอยู่ร่วมกันกับคนวัยเดียวกันเปรียบเหมือน นักธุรกิจเครือข่ายที่เริ่มต้นทำ จะคิดไปเรื่อยครับว่า บริษัททำไมถึงจ่ายเงิน ทำไมทำแบบนี้ไม่ได้ ทำไมต้องเข้าประชุม สมัคร ๆ แล้ว เอาไปขายไม่ได้เหรอ ทำไมไม่โฆษณา ฯลฯ สิ่งที่พวกเค้าต้องทำคือเข้าไปเรียนรู้ ในเซนเตอร์ครับ ผู้เริ่มต้นจะอยู่ในบรรยากาศของคนที่อยากทำครับคนไหนมีแนวคิดใช่ หรือไม่ใช่ จะถูกคัดกรองด้วยห้องประชุมแบบนี้ครับ

---เริ่มเข้า ป.4 นร กลุ่มนี้จะเริ่มชัดเจนครับ ว่าคนไหนได้เป็นหัวหน้า คนไหนได้เป็นลูกน้อง คนไหนเรียนเก่ง ซึ่งคนเรียนเก่งและเป็นผู้นำ ส่วนมากครูมักจะให้ไปเรียนพิเศษครับ เพื่อให้เด็กเรียนของแต่ละห้องมาอยู่ห้องเดียวกัน เด็กเหล่านี้จะเริ่มรู้จักกัน เกาะกลุ่มกันเรียนรู้ สิ่งที่จะได้คือ ได้สังคมกลุ่มเด็กเรียน ส่วนเด็กเรียนอ่อน ก็จะถูกไปเรียนกับห้องเด็กเรียนอ่อนเช่นเดียวกัน ในกลุ่มนี้จะมีส่วนหนึ่งที่เรียนดีขึ้น พัฒนาตัวเองให้อยู่ในกลุ่มเด็กเรียนเก่งได้แต่ส่วนหนึ่ง ก็จะเกาะกลุ่มกันโดดเรียนเช่นกัน การเป็นผู้นำในห้องเรียน ก็ถือเป็นโอกาสให้เด็กเหล่านั้นฝึกความเป็นผู้นำ ฝึกความกล้าแสดงออก เปรียบเหมือนกับนักธุรกิจเครือข่ายที่เริ่มมั่นใจว่าตัวเองทำได้ เริ่มมีเนื้องานมากขึ้น ทำ House meeting ถี่ขึ้น กล้าสปอนเซอร์ กล้าสอนทีมงาน กล้าแชร์ประสบการณ์ กล้าโมติเวท ฯลฯ สิ่งเหล่านี้พวกเค้าจะเริ่มทำให้เราเห็นในเซนเตอร์ครับ ดังนั้น เซนเตอร์ก็เปรียบเหมือนกับห้องเรียนในระดับแรก ที่พวกเค้าจะเรียนรู้สินค้าฝึกการสาธิต ฝีกการพูดบรรยาย ถ้าเทียบกับเอมสตาร์แล้ว จะเป็นกลุ่มที่ขึ้นตำแหน่งตั้งแต่บรอนซ์สตาร์ถึงโกลด์สตาร์ครับ คนที่ขึ้่นตำแหน่งเหล่านี้จะได้เข้าไปสัมนาในกลุ่มนักธุรกิจระดับบรอนซ์-โกลด์ใหม่ เมื่อเข้าไปพวกเค้าจะได้อยู่ในบรรยากาศของผู้นำระดับต้น ครับ คนอยู่บรรยากาศเดียวกันจะตื่นเต้นที่ได้เจอคนระดับเดียวกัน เรียนรู้เหมือนกัน แชร์ประสบการณ์ให้แก่กัน และตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้นไปครับ ส่วนห้องเรียนกับเซนเตอร์นั้น จะต่างกันตรงที่ ห้องเรียนในโรงเรียนนั้น เด็กจะถูกบังคับให้มาเรียน แต่เซนเตอร์ไม่มีการบังคับ ดังนั้น คนที่ไม่ใช่ จะถูกคัดออกจากธุรกิจด้วยตัวของเค้าเองครับ

---เมื่อเด็กอยู่ในชั้น ป6 , ม1-3 เด็กเหล่านี้จะเริ่มไปเรียนพิเศษตามสถาบันต่าง ๆ ซึ่งจะเจอกลุ่มเดียวกันกับที่พวกเค้าเคยเรียนเมื่อก่อนหน้านี้แต่มีเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น คือ ต้องสอบเข้าเรียนต่อในชั้น ม ต้น และ ม.ปลาย การเรียนการสอนจะเข้มข้นขึ้นและได้บรรยากาศการเรียนรู้จากกลุ่มคนมากหน้าหลายตาจากหลาย ๆ โรงเรียนในจังหวัดนั้นมารวมตัวกัน จากนั้น เด็กเรียนกลุ่มนี้จะเกาะกลุ่มกันไปสอบเข้าโรงเรียนชั้นนำของจังหวัดและจะได้อยู่ในห้องเรียนเดียวกันครับนั่นคือ ห้องคิง ห้องควีน เปรียบเหมือนกับธุรกิจเครือข่าย ที่อยู่ในบรรยากาศที่เป็นผู้นำมากขึ้น และเริ่มมีการแข่งขันกันมากขึ้น ถ้าเทียบกับ เอมสตาร์แล้ว ก็น่าจะระดับแพลตินั่ม-เพิร์ล นักธุรกิจเอมสตาร์ที่เข้ามาระดับนี้นั้น จะเป็นผู้นำที่ชัดเจนมากขึ้นครับ พวกเค้าจะได้เข้าร่วมสัมนาระดับผู้นำ แพลตินั่ม-เพิร์ล ในระดับนี้ งานบริหารเริ่มเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้กันมากขึ้นเพราะทรรศนคติของพวกเค้าจะไม่ใช่แค่อยากทำ อยากได้เงิน แต่เป็นเรื่องของการ รักษาองค์กร สร้างองค์กรให้เติบโต ช่วยคนให้สำเร็จ ผู้นำที่เข้าระดับนี้จะมีเป้าหมายใหญ่ขึ้น นั่นคือเป็นรูบี้สตาร์ในอีกไม่กี่เดือน จะเห็นแล้วนะครับ เมื่อขึ้นระดับที่สูงขึ้น การโฟกัสงาน จะเริ่มเปลี่ยน เพราะคนในองค์กรมากขึ้น ถ้าโฟกัสงานไม่ถูก มีหวังโตช้าครับ

--- นักเรียนในระดับ ม.ปลาย เป้าหมายไม่ใช่แค่เรียนต่อครับ แต่ต้องเลือกเรียนสาขาที่ตัวเองต้องการด้วย เห็นได้ชัดครับ ว่าการโฟกัสนั้นมีการชัดเจนขึ้น กลุ่มที่เป็นเด็กเรียน อยู่ในห้องคิงนั้นจะกดดันกว่าห้องอื่น ๆ เนื่องจากพวกเค้ามีแนวโน้มจะเอ็นท์ติดทุกคน ถ้าใครคนไหนเอ็นท์ไม่ติดล่ะก็เครียดแย่เลย เอ็นท์ติดไม่พอ ต้องได้คณะและสถาบันที่ต้องการด้วยเปรียบเหมือนกับเอมสตาร์ครับผู้นำที่อยู่ในระดับรูบี้สตาร์ และสูงขึ้นไป การโฟกัสงานนั้น จะไม่ใช่แค่ขึ้นตำแหน่งให้ได้เหมือนที่ผ่านมา แต่การบริหารและการแข่งขันจะเริ่มสูงขึ้น หลายคนจะเห็นนะครับว่าในเซนเตอร์จะมีผู้นำระดับรูบี้และไดมอนด์อยู่ในเซนเตอร์เคยตั้งคำถามมั้ยครับ ว่าพวกเค้าได้เงินระดับนี้แล้ว ทำไมไม่หยุดกัน ? ผู้นำเหล่านี้อยู่ในบรรยากาศของการแข่งขันสูงครับ เพราะพวกเค้าจะได้ไปสัมนาผู้นำระดับรูบี้สตาร์และสูงขึ้นไป เพื่อพิชิตตำแหน่งไดมอนด์ และสูงกว่านั้นดังนั้นพวกเค้าจะอยู่ในกลุ่มที่แข่งกันกัน พิชิตเป้าหมายสูงสุดของบริษัทครับ ตราบใดยังไม่ถึงตำแหน่งนั้น พวกเค้าก็ไม่เลิกครับ

---เคยคิดกันมั้ยครับ ว่าทำไมบริษัทต่าง ๆ ถึงรับพนักงานที่จบปริญญาตรีขึ้นไป ? หลายคนบอกว่า วุฒิมีไว้ก็เท่านั้น ความสามารถไม่ต่างกัน ฯลฯ แต่ผมอยากให้มองไปมากกว่านั้นครับ การเรียนในระดับมหาวิทยาลัย นักศึกษาจะเริ่มทำกิจกรรมมากขึ้น การเรียนเป็นแบบผู้ใหญ่มากขึ้น เลือกเอง ตัดสินใจเองซึ่งการทำกิจกรรม จะเป็นการฝึกให้รุ่นพี่รุ่นน้องได้มีปฏิสัมพันธ์กัน การวางตัวในสังคมจะถูกฝึกกันในนี้มากขึ้นครับเพราะการเข้าทำงานบริษัทนั้น จะต้องได้ร่วมทำงานกับคนหลากวัย ต้องเข้ากับทุกคนให้ได้ ดังนั้นเรื่องวูฒิภาวะ เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ นอกจากนี้ คนที่เอ็นท์ติดเข้ามหาวิทยาลัยดัง ๆ นั้น จะได้ฝึกเรื่องการกำหนดเป้าหมาย การแข่งขัน การจริงจังในสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ ฯลฯ ทั้งหมดที่ว่ามานี้ ได้มาจากระบบการศึกษา ที่คัดกรองคนให้อยู่ในบรรยากาศเดียวกัน เรียนรู้แบบเดียวกันผู้ที่ใช่ ผู้ที่ชนะ ก็จะถึงจุดสูงสุดได้ครับเมื่อเรียนจบแล้ว ถ้าเพื่อนร่วมรุ่น เรียนต่อปริญญาโท ซะครึ่งหนึ่ง ถามว่าตัวคุณเองจะอยากเรียนมั้ยครับ ? ในเอมสตาร์เองก็เช่นกัน ถ้าทุกคนอยู่รูบี้ จากนั้นก็ moving up เป็นคราวน์ไดมอนสตาร์กันหมด คุณจะต้องเป็นคราวน์ไดมอนสตาร์มั้ยครับ

ที่ผมกล่าวมาข้างต้นนี้ คือธรรมชาติของธุรกิจเครือข่ายครับ หลัก ๆ ไม่มีอะไรมากครับ เรียนรู้ ฝึกฝน ถ่ายทอด ทำซ้ำ แต่คนจะทำได้ก้ต้องอยู่ในบรรยากาศที่ใช่ และเกาะกลุ่มกันไปตลอดครับ การเปรียบเปรยกับระบบการศึกษา ก็เพื่อเน้นให้เห็นถึงบรรยากาศ การเรียนรู้การแข่งขันครับ คนไหนไม่อยู่ในบรรยากาศ ผมฟันธงว่าไม่รอดครับ ...ระบบในธุรกิจนี้ ถ้าใครมุ่งมั่น อยู่ในระบบ ทำตามวิธีการทึ่ถูกต้อง จะสำเร็จเร็วหรือช้า ก็ต้องสำเร็จซักวันครับ อีกการฝึกฝน การวางตัว มารยาทในสังคม ล้วนแล้วแต่ได้ฝึกในระบบเหล่านี้ล่ะครับ

ในเอมสตาร์นั้น ระบบการขับเคลื่อนก็ไม่มีอะไรมากครับ
1.ฝึกคนทำเฮาส์มีตติ้ง
2.เข้าเรียนรู้ในเซนเตอร์
3.เข้าคอร์สเดอะวินเนอร์
4.เข้างานอีเวนท์ต่างๆ
ระบบก็จะคล้าย ๆ กับบริษัทอื่น ๆ นั่นล่ะครับ

ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็อยู่ที่แต่ละทีม แต่ละบริษัท จะมีเครื่องมืออะไร มา support ให้นักธุรกิจประคอง วิธีการทำงานและแนวคิดที่สามารถถ่ายทอดกันได้มากน้อยแค่ไหน

ระบบการขับเคลื่อนทำให้ บริษัทเหล่านี้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ระบบเหล่านี้ สร้างไว้เพื่อให้คนที่มีทักษะต่างกันสามารถเรียนรู้พัฒนาตัวเองได้ครับ ใครที่บอกว่า ตัวเองไม่เก่ง ทำไม่ได้หรอก จนต้องสรรหาวิธีการอื่น ๆ มาทำ ต้องถามกลับว่าทำตามระบบที่ถูกต้องเต็มที่แล้วหรือยัง ความจริงก็คือ ไม่ได้ทำเต็มที่ และไม่ชอบมากกว่า เลยต้องไปหาวิธีการสารพัดวิธี เพื่อให้ตัวเองได้รายชื่อหรือสร้างองกรค์ง่าย ๆ แต่ก็บอกไว้เลยครับว่าได้ไม่นาน เพราะออกนอกบรรยากาศอย่างที่ผมกล่าวไว้ข้างบนหลายครั้งหลายครา วิธีการที่สรรหามานั้นมักจะทำให้ทรรศนคติของคนเปลี่ยนไป จนข้ามขั้นตอนพื้นฐานของการพัฒนาตัวเองและการวางแผนงาน อย่างเช่นการลิสต์รายชื่อ ......

สูตรสำเร็จของการทำงาน มีการเริ่มต้น ที่ 6 ข้อครับ บริษัทไหนก็สอนกันแบบนี้ 6 ข้อที่ว่านั้น คือ
1.กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนว่าทำธุรกิจนี้ เพื่ออะไร ทำเพื่อใคร ต้องการมีรายได้เท่าไหร่
- โดยต้องเขียนไว้ด้วยนะครับ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ชัดเจน แต่สิ่งที่จะทำให้ความฝันเป้นจริงได้ มันอยู่ที่ว่า เรามีวัตถุดิบมากแค่ไหน ลายแทงหรือวัตถุดิบที่ว่า นั่นก็คือรายชื่อครับ เพราะเราทำงานกับคน เราจะสร้างเครือข่ายคน
2. ลิสต์รายชื่อ
-ขั้นตอนนี้ ก็เป็นสิ่งสำคัญนะครับ แต่เป็นสิ่งที่หลายคนมองข้ามการลิสต์รายชื่อ มีกฏเหล็กตายตัวเลยครับว่า ห้ามคิดแทนคนอื่น หลายคนอาจคิดว่า มีชื่ออยู่แล้วในโทรศัพท์มือถือ จะไปลิสต์อีกทำไมให้เสียเวลาแต่ถ้าผมจะถามกลับว่า คุณจะเริ่มต้นเดือนแรกด้วยการเป็นตำแหน่งอะไร ? คุณจะมีรายได้ที่เท่าไหร่ในเดือนนี้ ? ตอบได้มั้ยครับ ? การลิสต์รายชื่อเพื่อให้เรารู้จักวางแผนและสร้างเป้าหมายให้ชัดเจนถ้าเรามีรายชื่อ 100 คน คิดมาเลยครับว่าคนไหนเป็นคนขยัน มุ่งมั่น ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ต้องการหารายได้เพิ่ม มีปัญหากับรายได้ จัดกลุ่มเป็น ABC เพื่อให้เรารู้ว่า จะต้องไปหา A ก่อน แล้วต่อรายชื่อไปเรื่อย ๆ เราจะรู้ครับว่าวางคนแบบไหน ต้องมีคนในองค์กรเดือนนี้เท่าไหร่ ถ้าอยากเป็นโกลด์ ต้องมีคนในองค์กรฝั่งละ 30 คนปิดซุปเป็นต้น หาคนที่ใช่ คนไหนไม่คิดเหมือนเราก็ข้ามไปก่อน การลิสต์รายชื่อเพื่อให้เรารู้ว่า เรามีคนที่จะสปอนเซอร์กี่คน ถ้ารายชื่อน้อย ท่าทีในการเชิญก็จะเป็นลักษณะตื้อง้อ เพราะเราจะคาดหวังกับเค้าไว้มากแต่ รายชื่อเยอะ ท่าทีในการเชิญก็จะเป็นลักษณะ การมอบโอกาส เค้าไม่ทำ เราก็ข้ามไปหาคนอื่นได้ เราจะรู้สึกว่ามีพลังจากจำนวนรายชื่อนี่ล่ะครับ

ธุรกิจนี้ คุณหมอลพา บอกเองครับ ว่าเป็นธุรกิจแห่งสายสัมพันธ์ คอนเซปต์ เค้าให้แนะนำโดยเริ่มจากคนรู้จัก เพราะความไว้เนื้อเชื่อใจ จะทำให้คนเปิดใจได้ง่ายกว่า ใครคนไหนบอกว่าเริ่มต้นให้ไปชวนคนไม่รู้จักล่ะก็ ? ทีมงานของคุณจะเลิกอย่างรวดเร็ว พร้อมให้เหตุผลว่า "คุณชวนได้ ก็คุณเก่งนี่ เค้าไม่เก่ง ไม่กล้าไปชวนคนไม่รู้จักหรอก " ดังนั้น ขอได้อย่าสร้างแนวคิดแบบนี้ให้กับทีมงานเลยครับ หลายต่อหลายคนเข้ามาในธุรกิจนี้ ไม่มีทักษะในการนำเสนอ โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้า แล้วเค้าจะทำตามคุณได้อย่างไร นี่คืออีกเหตุผลที่ต้องให้พวกเค้าไปเรียนรู้และฝึกฝนใน ห้องประชุมครับ** ทักษะ การวางแผนงาน การวิเคราะห์รายชื่อ จะเริ่มจากจุดนี้ล่ะครับ ใครไม่เคยทำ ย้อนไปกลับทำซะนะครับ**

วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

มาวัดใจตอบคำถามด้วยตัวคุณเอง ว่าทำไมผมถึงแนะนำให้คุณทำธุรกิจเครือข่าย

ตัวคุณถึงเวลาที่จะทำธุรกิจเครือข่ายแล้วหรือยัง ลองมาอ่านดูครับจะได้รู้ว่าควรทำหรือไม่

ผมมีคำถามอยู่ 20 ข้อ ให้คุณลองถามตัวคุณเองด้วยใจที่เป็นกลางไม่ลำเอียง แล้วคำตอบที่คุณตอบโจทย์ที่ผมให้ไป จะตอบความสงสัย ว่าทำไมถึงยังมีคนทำธุรกิจเครือข่าย

  1. คุณคิดว่าเงินเดือนที่คุณได้เทียบกับความสามารถของคุณเหมาะสมกันไหม
  2. คุณพอใจแล้วใช่ไหมที่เงินเดือนของคุณถูกกำหนดด้วยปลายปากกาของคนที่เรียกว่า หัวหน้า และจะพิจารณาเพียงแค่ปีละ 1 ครั้ง และเพิ่มครั้งละ 5-10%
  3. คุณชินไหมกับการที่ต้องขออนุญาติใครสักคนเพื่อที่จะ ไปพักผ่อน, ไปเยี่ยมคนที่คุณรัก, ไปทำอะไรที่คุณอยากทำในวันจันทร์-วันเสาร์
  4. คุณเคยมองขึ้นไปในบริษัทที่คุณทำงานอยู่ตอนนี้ไหมว่าหัวหน้าของคุณ ผู้จัดการของคุณทำงานมากี่ปีแล้ว และมีรายได้เท่าไหร่ อีกกี่ปีคุณจะมีตำแหน่งหรือเงินเดือนเท่าเขาเหล่านั้น
  5. คุณคิดว่าสินค้าทั่วไปตามท้องตลาดให้อะไรกับชีวิตคุณได้บ้าง นอกจากการซื้อใช้หมดไป ซื้อซ้ำใหม่เรื่อยๆ
  6. คุณคิดว่า Big-C, Makro, Lotus, โชว์ห่วย, 7-11 ฯลฯ มีรายได้เดือนละเท่าไหร่? จากใคร?
  7. คุณคิดว่าที่มีดารามาโฆษณาสินค้าค่าตัว 7 หลัก จริงๆ แล้วใครเป็นคนจ่ายค่าโฆษณา และสินค้านั้นคุณคิดว่าดาราได้ใช้จริงๆ หรือไม่
  8. งานที่คุณทำวันนี้หากคุณเสียชีวิต รายได้ที่คุณเคยได้จะสามารถมีเข้าบัญชีคุณ เหมือนที่คุณยังมีชีวิตหรือไม่ หรือหากคุณไม่มีรายได้นี้แล้วคุณมีรายได้สำรองอะไรอีกไหม
  9. คุณเคยรู้จักอะไรสักอย่างที่ดีกับชีวิตคุณมากๆ ไหมครับ และเมื่อคุณรู้แล้วคุณจะเก็บไว้เพียงคนเดียว หรือจะบอกให้คนที่คุณรักได้รู้ด้วย แต่สิ่งที่คุณบอกไป มันไม่ใช่แค่การบอก แต่มันยังมีในส่วนของรายได้มหาศาลที่จะได้กลับมาทั้งตัวคุณเอง และคนที่คุณรัก
  10. คุณเชื่อหรือไม่ครับว่าตัวคุณเองเป็นคนที่มีศักยภาพ และมีความสามารถที่จะสามารถเป็นผู้นำครอบครัวและผู้นำเพื่อนๆ
  11. คุณเชื่อหรือไม่ครับว่ามนุษย์ทุกคนมีความต้องการ อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น
  12. คุณมีความมั่นคงในชีวิตแล้วหรือยัง หากไม่มีคุณคนที่คุณรัก ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก เมีย ของคุณเขาเหล่านั้นจะสามารถดำรงชีวิตได้โดยไม่ลำบากใช่หรือไม่
  13. หากคุณรู้ว่าเพื่อนคุณ ญาติคุณ หรือคนที่คุณรู้จักกำลังทำงานบางอย่างที่สุจริต เพื่อคนที่เค้ารักด้วยใจมุ่งมั่น ด้วยหัวใจที่ต้องการกตัญญูต่อพ่อแม่ ต้องการแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้กับคนที่เค้ารัก ต้องการวางรากฐานความมั่นคงให้กับ ลูก เมีย คุณจะคิดยังไงกับเค้าเหล่านั้น
  14. คุณคิดว่าตัวคุณมีคุณค่าต่อคนที่คุณรักเพียงพอแล้วหรือยัง
  15. อีก 3-5 ปีข้างหน้าคุณจะมีรายได้เท่าไหร่ ทำงานตำแหน่งอะไร ชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปจากวันนี้หรือไม่
  16. หากวันนี้คุณประสบอุบัติเหตุจนไม่สามารถลุกจากเตียงได้ คุณจะหารายได้จากไหนเพื่อเลี้ยงชีวิต
  17. คุณอยากมีเวลาอยู่กับคนที่คุณรักมากกว่าปัจจุบันไหม หรือว่าแค่เจอกันหลังเลิกงานหรือช่วงวันหยุดก็พอแล้ว
  18. คุณแปลกใจไหมว่าคนที่จบดอกเตอร์, อาจารย์, บัณฑิตเกียรตินิยม, ญาติคุณ, คนที่คุณรัก, คนที่คุณรู้จัก ฯลฯ ถึงมาทำธุรกิจเครือข่าย คุณคิดว่าเค้าเหล่านั้นโง่หรือโดนล้างสมอง หรือเค้าเห็นอะไรที่มากกว่าที่คุณเห็น
  19. คุณคิดว่าคุณรู้จักธุรกิจเครือข่ายดีแค่ไหน รู้จากใคร รู้ตอนที่คุณเปิดใจฟังหรือปิดใจฟัง ได้ศึกษาดีแล้วหรือยังที่จะตัดสินอะไรว่าดีหรือไม่ดี (จริงๆ ข้อนี้ไม่อยากถามแต่มันจำเป็นต้องถามจริง)
  20. หากคุณเป็นเจ้าของกิจการอยู่แล้ว คุณคิดว่าลูกคุณจะมาทำกิจการของคุณต่อไหม หากลูกคุณไม่ทำกิจการของคุณจะเป็นอย่างไร
คำถามที่ผมถามเหล่านี้ ผมเชื่อว่าเป็นคำถามที่น่าสนใจ...เพราะผมก็เชื่อว่าหลายๆคน ที่ไม่ได้ทำธุรกิจเครือข่าย ไม่ใช่เพราะเค้าไม่ชอบ แต่เพราะเค้ายังไม่เข้าใจมากกว่า